Robert Capa



WAR PHOTOGRAPHY : ภาพถ่ายสงคราม
Robert Capa : โรเบิร์ต คาปา ตำนานแห่งช่างภาพสงคราม

แก้ไขล่าสุด ปี 2555 / edited january 2012
บทความโดย ภูมิกมล ผดุงรัตน์ article : Poomkamol Phadungratna

โรเบิร์ต คาปา ( Robert Capa ) เคยกล่าวว่า
" If your pictures aren't good enough, you're not close enough"
"หากภาพของคุณยังไม่ดีพอ แสดงว่าคุณยังเข้าใกล้เหตุการณ์ไม่มากพอ" คำพูดที่เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่
จะปฏิบัติ คงไม่มีใครกระโจนเข้าหาความตายในขณะที่คนอื่นกำลังวิ่งหนี แต่ช่างภาพสงครามเหล่านี้ทำอย่างที่พูดจริงๆ

เกอด้า ทาโร (Gerda Taro)
อองเดร ฟรีแมน (Endre Friedmann)
ผู้ให้กำเนิดช่างภาพในตำนาน โรเบิร์ต คาปา (Robert Capa)


เกอด้า ทาโร (Gerda Taro) เดิมชื่อ Gerta Pohorylle ชาวเยอรมันที่มี
เชื้อสายยิว เธอเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง ต่อต้านลัทธินาซีและ
ถูกหมายหัวจากรัฐบาลเยอรมัน ครอบครัวของเธอต้องลี้ภัยการเมือง..หลบ
หนีกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง และไม่เคยได้กลับมาพบกันอีกเลย ตัวเธอ
เองนั้นหนีมาประเทศฝรั่งเศสในปี 1934 และพบกับช่างภาพชาวฮังกาเรี่ยน
อองเดร ฟรีแมน (Endre Friedmann) ซึ่งต่อมาเขาคนนี้..หรือคนทั้งสองจะ
กลายเป็นช่างภาพอีกคนหนึ่งชื่อ โรเบิร์ต คาปา (Robert Capa) แต่ทว่าใน
ตอนนั้น โรเบิร์ต คาปา ยังไม่มีตัวตน

เกอด้าใช้ชีวิตร่วมกับอองเดร และทำงานภาพถ่ายร่วมกัน
เธอเป็นสาวสวยหัวรุนแรง ส่วนอองเดรเป็นผู้ชายหน้าตาดี..ที่มีชีวิตอิสระ
ทั้งสองเผชิญกับโลกที่ต้องแข่งขันอย่างสูง งานในยุโรปเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
ขณะที่ใครต่อใครพากันอพยพมาอยู่ปารีส การเกิดมาเป็นช่างภาพผู้หญิงที่มี
เชื้อสายยิว หรือการเป็นช่างภาพฮังกาเรี่ยนที่ไม่มีคนรู้จัก ชาติกำเนิดเช่นนี้
ในยุคนั้นไม่ค่อยเอื้อต่ออาชีพการงานสักเท่าใด พวกเขาจึงสร้างตัวละครขึ้น
มาอีกหนึ่ง คนที่มีชื่อเรียกง่ายๆแบบอเมริกัน มีสถานะทางสังคมที่เอาไว้โอ้อวด
หรือช่วยส่งเสริมงานภาพถ่ายของพวกเขาได้

เกอด้า ทาโร และ อองเดร ฟรีแมนจึงสร้าง"โรเบิร์ต คาปา"ขึ้นมา

ในนิยายโกหกของพวกเขา"โรเบิร์ต คาปา"เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน
แล้วยังเป็นช่างภาพมีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเดินทางบันทึกภาพ
เหตุการณ์ในยุโรปขณะนั้น ส่วนเกอด้าและอองเดร..สวมบทบาท"ตัวแทนธุกิจ"
ของคาปา เสนอขายภาพข่าวเหล่านั้นให้สำนักพิมพ์-สำนักข่าว ซ้ำยังเรียกร้อง
ราคาที่สูงกว่าปกติอีกด้วย เหตุผลที่เกอด้าอธิบายคือท่านคาปาเป็นผู้มีชื่อเสียง
ล้นฟ้าในสหรัฐฯ..และจะไม่พอใจอย่างมาก หากสำนักพิมพ์จ่ายค่ารูปในราคา
เท่ากับที่จ่ายให้ช่างภาพต่ำต้อยทั่วไป เพราะท่านคาปาจะถือเป็นการดูถูกอย่าง
รุนแรง แม้ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่าบรรณาธิการสำนักพิมพ์เหล่านี้จะเชื่อคำ
โกหกของเธอจริงๆหรือไม่ แต่พวกเขาซื้อภาพถ่ายที่เกอด้าและอองเดรเสนอขาย
และในราคาสูงกว่าปกติเสียด้วย อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นท่าน"โรเบิร์ต คาปา"
ไม่มีตัวตนอยู่จริง ภาพถ่ายทุกภาพจึงเป็นผลงานของเกอด้าและอองเดร ซ้ำยัง
เป็นงานภาพถ่ายที่เฉียบคมน่าสนใจมากมาย ภาพถ่ายเหล่านั้นสร้างชื่อเสียงให้
กับ"โรเบิร์ต คาปา"มากขึ้นทุกวัน ..ปัญหาคือพวกเขาจะเล่นมุกแบบนี้ได้อีก
นานแค่ไหน วงการภาพข่าว..และสังคมในยุคนั้น ทุกคนต่างรู้จักกันเกือบหมด
และหนึ่งในเอเจนซี่..ที่พวกเขาเอางาน"โรเบิร์ต คาปา"ไปขายนั้น ไม่ใช่อื่นไกล
อย่างเช่น Alliance Photo เป็นที่ที่เกอด้าทำงานในกองบรรณาธิการภาพ
คนหนึ่งที่เธอเดินเข้าไปขายงานก็คือ Maria Eisner หัวหน้าของเธอนั่นเอง

พวกเขาเล่นเกมที่อันตรายเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง..
ความลับจึงถูกเปิดโปง แต่ทว่าบรรณาธิการหนังสือ Vue คือ Lucien Vogel
ไม่ได้สนใจประเด็นนี้ ไม่ว่าจะเป็น "โรเบิร์ต คาปา" หรือจะเป็น เกอด้า ทาโร่
หรือว่า อองเดร ฟรีแมน..ตราบที่พวกเขายังถ่ายภาพที่สุดยอดเช่นนี้ จะเป็นใคร
จะใช้ชื่ออะไรไม่สำคัญ ..มาถึงตรงนี้ อองเดร ฟรีแมนตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมาเป็น
"โรเบิร์ต คาปา"อย่างเต็มตัว อาจจะเป็นการสานต่อตำนานขำๆของพวกเขาเอง
หรืออาจเป็นเพราะชื่อ"โรเบิร์ต คาปา"ติดตลาดไปแล้ว ไม่มีใครที่หยั่งรู้ใจของเขา
ได้จริงๆ ..ส่วนเกอด้าเปลี่ยนชื่อเดิม Gerta Pohorylle มาเป็น Gerda Taro
อย่างเป็นทางการเช่นกัน นามสกุล ทาโร่ (Taro) นำมาจากชื่อของศิลปิน
เซอเรียลลิสต์ชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังขณะนั้น คือ Tarō Okamoto ส่วนที่มาของชื่อ
Robert Capa มีการบอกเล่าแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม คำว่า Capa ใน
ภาษาฮังกาเรี่ยนหมายถึง "ฉลาม" ซึ่งหลายคนคาดเดาว่าอาจหมายถึงธรรมชาติ
ของวิชาชีพช่างภาพข่าวนั่นเอง..

มาถึงตรงนี้มีเพียง
เกอด้า ทาโร (Gerda Taro) และ โรเบิร์ต คาปา (Robert Capa)

วันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1936
เกิดสงครามกลางเมืองสเปน..(Spanish Civil War)
และสู้รบกันไปจนถึงวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1939 ..เริ่มต้นจากกลุ่มลัทธิ
เผด็จการทหาร fascists ก่อรัฐประหาร แต่ไม่สามารถควบคุมได้ทุกเมือง
รัฐบาลสาธารณรัฐตอบโต้และพยายามยึดพื้นที่คืน ทั้งประเทศกลายเป็นสนามรบ
สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเผด็จการทหาร และครอบครองประเทศอยู่นาน
กว่าสามสิบปี

เกอด้า ทาโร่และโรเบิร์ต คาปา เข้าไปถ่ายภาพสงครามกลางเมืองสเปน
ตั้งแต่ ปี 1936 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองยังคงใช้ชื่อ"โรเบิร์ต คาปา"ร่วมกันอยู่
ในการถ่ายภาพ แต่งานในช่วงแรกนั้นยังสามารถแยกแยะได้ว่าจริงๆแล้ว ใคร
เป็นคนถ่ายภาพไหน เพราะเกอด้าใช้กล้อง Rollei (Rolleiflex) ซึ่งเป็นฟอแมต
สี่เหลี่ยมจตุรัส ขณะที่คาปาจะใช้กล้อง Leica ซึ่งเป็นฟอแมตแนวนอน ..กระทั่ง
ปี 1937 ที่ทั้งคู่หันมาใช้กล้อง 135 เหมือนกัน แต่ทว่าถึงตอนนั้น เกอด้า ทาโร่
เริ่มแบ่งแยกตัวเองออกจากความเป็น"โรเบิร์ต คาปา"และจากออกเริ่มห่างจาก
โรเบิร์ต คาปาตัวเป็นๆ (อองเเดร ฟรีแมน) เธอจริงจังกับสงครามกลางเมืองสเปน
มากกว่า เสมือนเป็นสงครามส่วนตัวของเธอเองในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร
สังคมของเธอขยายวงกว้างขึ้น และเป็นผู้คนที่มีแนวคิดใกล้เคียงกับเธอ เช่น
นักข่าวอเมริกัน..และนักเขียนชื่อดังในเวลาต่อมาคือ เออเนส เฮมมิ่งเวย์ (Ernest
Hemingway) นักเขียนชาวอังกฤษ จอร์ช ออเวล (George Orwell) นอกเหนือ
จากภาพถ่ายและการเมืองแล้ว เธอยังมีความตั้งใจที่จะกลับไปช่วยครอบครัว
ให้หลบหนีออกจากเยอรมัน..และไปอยู่สหรัฐอเมริกา ช่วงเวลานั้น เธอปฏิเสธ
คำขอแต่งงานจากโรเบิร์ต คาปา ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง เป็นสิ่ง
ที่เหนือความคาดหมายสังคม เมื่อทุกคนมองว่าทั้งสองรักกันมากมายเพียงใด

วันที่ 26 กรกฎาคม 1937
ขณะนั้น..โรเบิร์ต คาปาเดินทางไปธุระที่ปารีส
เกอด้ายังอยู่ในสเปน ออกถ่ายภาพสนามรบตามปกติ
ในวันนั้น เธอประสบอุบัติเหตุ..รถถังชนกับรถบรรทุก เกอด้า ทาโร่เสียชีวิต
อย่างไม่มีใครคาดคิดด้วยอายุเพียง 26 ปลายๆ ก่อนถึงวันเกิดครบ 27 ปีเพียง
ไม่กี่วัน (เธอเกิด 1 สิงหาคม)

ตามบันทึกของ เท็ด อเลน (Ted Allan 1916–1995) นักเขียนชาวแคนาดา
ซึ่งเป็นเพื่อนกับคาปาและเกอด้าในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน..และเป็นคนที่
อยู่กับเกอด้าวันที่เธอเสียชีวิต บันทึกกล่าวไว้ว่าระหว่างที่รถบรรทุกเคลื่อนออก
จากสมรภูมิ อีกด้านหนึ่งของถนน..รถถังของฝ่ายรัฐบาลถูกเครื่องบินข้าศึกโจมตี
และกำลังขับหลบไปมา รถบรรทุกจึงพยายามจะหลีกลงข้างทาง แต่ไม่ทันพ้น
กลับพุ่งเข้าชนกันเสียก่อน คืนวันนั้นเกอด้า ทาโร่เสียชีวิตในห้องผ่าตัด

เกอด้า ทาโร่ เป็นสาวสวย หัวรุนแรง เป็นช่างภาพระห่ำสุดขั้ว..
ออกสู่สมรภูมิแนวหน้าตลอดเวลา เธอไม่ใช่ช่างภาพโด่งดังในช่วงชีวิตสั้นๆ
ของเธอ และไม่ได้มีผลงานมากมายนัก แต่มีอิทธิพลต่อศิลปะภาพถ่ายอยู่ไม่น้อย
ภาพถ่ายธรรมดาที่บันทึกเรื่องราวยิ่งใหญ่ โศกนาฏกรรมมนุษยชาติ การต่อสู้ของ
ประชาชนกับกองทหารเผด็จการ ภาพถ่ายของเธอบอกเล่าเสี้ยววินาทีสั้นๆเหล่านี้
และงานของโรเบิร์ต คาปา บอกเล่าในแบบเดียวกัน ความตายของเธอจะมีผล
กระทบต่อชีวิตของเขามากน้อยเพียงใด..ไม่มีใครตอบได้ แต่ทว่าชีวิตของโรเบิร์ต
คาปาหลังจากนั้น ทุกวันกลายเป็นเสมือนวันสุดท้าย..เมื่อเขาใช้มันอย่างเกินกว่า
ที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ โรเบิร์ต คาปาเยือนสมรภูมิสำคัญตลอดสงครามโลก
และหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบในประเทศจีน (ระหว่างการรุกรานของญี่ปุ่น)
สมรภูมิในแอฟริกา อิตาลี่ การยกพลขึ้นบกที่นอมังดี (ค.ศ.1944) พวกเขาสร้าง
มาตรฐานใหม่ของงานภาพข่าวที่ดุเดือด เกาะติดสถานการณ์ เสี้ยววินาทีชีวิตที่
บันทึกอย่างตรงไปตรงมา ความจริงที่เหนือความคาดหมาย..จนแลดูเหนือจริง
และนี่คือภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่

ผลงานโด่งดังชิ้นหนึ่งของโรเบิร์ต คาปา จากสงครามกลางเมืองสเปน
คือภาพการตายของทหารสาธารณรัฐ (Death of a Republican Soldier
ค.ศ. 1936) ในภาพถ่าย..ทหารผู้นี้ถูกกระสุนผงะหงายไปเบื้องหน้า สองแขน
เหยียดออก ฉากหลังมีเพียงท้องฟ้าว่างเปล่า เป็นวินาทีที่งดงาม..หากไม่รู้ว่าเกิด
อะไรขึ้นในห้วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งศตวรรษให้หลัง มีผู้โต้แย้งภาพนี้
ในประเด็นความถูกต้องของข้อมูล อาจเป็นเพราะคาปาระบุสถานที่เกิดเหตุไว้
เป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์รุ่นหลังกล่าวว่าช่วง
ขณะนั้นของสงคราม ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ และอยู่คนละทิศ
กับสนามรบอีกด้วย แน่นอนว่า..เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบอะไรชัดเจน อาจเป็นแค่
การเขียนชื่อสถานที่ผิดพลาด หรือจะมีเบื้องหลังมากกว่านั้นย่อมไม่มีใครตอบได้
แต่ทั้งหมดมิได้ลดทอนคุณค่าของภาพถ่ายนั้นเลย และที่แน่นอนที่สุดคือทั้งคาปา
และเกอด้า ทาโร่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งกลางสนามรบสเปนจริง คนหนึ่งตายในสนามรบ
อีกคนหนึ่ง..ดูเหมือนเปลี่ยนไปตลอดกาล

หลังการเสียชีวิตของเกอด้า ..คาปาเดินทางไปถ่ายภาพสงครามในประเทศจีน
และย้อนกลับไปบันทึกสงครามกลางเมืองสเปนอีกครั้ง..ช่วงสั้นๆในปี 1939

การทำงานของ โรเบิร์ต คาปา อาจเสี่ยงอันตรายอยู่ทุกวินาที
แต่ในชีวิตส่วนตัวของเขากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่เคยมีใครเห็นเขา
เมาไร้สติ ทั้งที่เป็นคนดื่มหนักมาก คาปามีรสนิยมการแต่งตัวที่ดี เข้าใจเลือก
เสื้อผ้าชั้นเยี่ยม อาหารชั้นยอด นอนในโรงแรมชั้นหนึ่ง..ซึ่งเป็นเสมือนบ้านของ
ตนเอง เขาไม่ชอบชีวิตชนบทแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังเป็นที่นิยมของสาวสวย
และมีความสัมพันธ์ทำนองอยู่เสมอ ความมีมนุษย์สัมพันธ์ยอดเยี่ยมทำให้รู้จัก
ผู้คนมากมาย ทั้งเหล่าศิลปิน นักเขียน นายทหาร นักการเมือง ..บุคคลสำคัญ
ส่วนหนึ่งเป็นเครือข่ายสังคมที่คุ้นเคยกันมาสมัยที่เกอด้ายังมีชีวิต ..แต่ทว่า
ท่ามกลางแวดวงสังคม ชีวิตส่วนตัวของเขาค่อนข้างเก็บเงียบ โดดเดี่ยว
ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ในปี 1942 ระหว่างถ่ายภาพสงครามในอาฟริกาเหนือ
เขาย้ายมาสังกัดนิตยสาร LIFE และปีต่อมากองทัพสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ
วางแผนบุกอิตาลี่ ด้วยการโดดร่มลงไปที่เกาะซิซีลี (Sicily) และเริ่มปลดปล่อย
ทวีปยุโรปจากจุดนั้น ซึ่งการบุกเกาะซิซีลีกล่าวกันว่า..ได้รับความร่วมมือจาก
ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งกลุ่มมาเฟียอิตาลีในอเมริกาคอยประสานงาน ..
โรเบิร์ต คาปาเดินทางไปกับหน่วยพลร่ม และโดดลงจากเครื่องบินพร้อมทหาร
หน่วยแรก เขาร่วมถ่ายภาพในศึกนั้นจนถึงปี 1944 จึงกลับไปลอนดอน
ประเทศอังกฤษ ได้พบปะเพื่อนฝูง กินเที่ยวเรื่อยๆ

ระหว่างปี 1943 เดือนกุมภาพันธ์ คาปาพบกับสาวผมแดง เอลีน จัสติน
(Elaine Justin) ภรรยาของนักแสดงชื่อ จอห์น จัสติน (John Justin)
ทั้งคาปาและเอลีนเริ่มสัมพันธ์โรแมนติก ..ยืนยาวอยู่จนถึงปลายสงคราม

สงครามโลกเดินมาใกล้จุดสุดท้าย
เยอรมันและญี่ปุ่นกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ ..วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944
การโจมตีนอมังดีเพื่อปลดปล่อยฝรั่งเศสเริ่มขึ้น ทหารพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่หาด
โอมาฮา (Omaha Beach) เป็นการรบที่นองเลือดมากที่สุดครั้งหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย แผนรบคลาดเคลื่อน
ผิดพลาดมากมาย แต่กองทัพสัมพันธมิตรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยึดพื้นที่
ให้ได้ โรเบิร์ต คาปาอาสาขึ้นฝั่งพร้อมหน่วยรบหน่วยแรก แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทาง
ทหารไม่เห็นด้วย เพราะตามสถิติแล้วหน่วยรบที่ก้าวขึ้นฝั่งเป็นหน่วยแรก..มัก
เป็นหน่วยที่ตายหมดทุกคนเสมอมา และช่างภาพที่ตายแล้วคงถ่ายรูปไม่ได้ แต่
คาปายังคงยืนยันจะไปพร้อมกับหน่วยแรก..และตกลงกันได้ที่เขาต้องไปกับ
หน่วยที่เป็นระลอกสอง ซึ่งยังคงความดุเดือดไม่น้อยกว่า คาปาบันทึกสมรภูมิ
ประวัติศาสตร์นี้ไปจำนวนสี่ม้วน เมื่อเตรียมโหลดฟิล์มม้วนต่อไป และพบว่ามือ
เขาสั่นจนไม่สามารถถ่ายต่อไปได้ นาทีประวัติศาสตร์ของเขาจบลงเพียงเท่านั้น
เมื่อถูกส่งกลับขึ้นไปรักษาพยาบาลบนเรือรบ ..

ความตื่นเต้นมิได้หยุดแค่ในสมรภูมิ
ช่างเทคนิคห้องมืดของนิตยสาร LIFE ประจำนครลอนดอน เข้าใจดีว่าภาพ
ประวัติศาสตร์ชุดนี้สำคัญอย่างไร เกิดเป็นความกลัวผิดพลาด และแล้วพวกเขา
ทำพลาดจริงๆ ระหว่างการล้างฟิล์ม..เนกาทีฟเสียไปเกือบทั้งชุด ผู้ช่วยห้องมืด
อายุสิบห้าปี เดนนิส แบงค์ (Dennis Banks) ตั้งอุณหภูมิเครื่องเป่าแห้งสูงเกินไป
ทำให้ผิวหน้าของเนกาทีฟละลาย แม้พยามแก้ไขความผิดพลาดได้เพียงบางส่วน
แต่มีแค่สิบเอ็ดเฟรมแรกเท่านั้นที่เหลืออยู่ ..นิตยสาร LIFE อธิบายภาพชุดนี้ว่า
slightly out of focus หรือค่อนข้างพร่ามัว ซึ่งให้อารมณ์ร่วมไปอีกแบบหนึ่ง
บ่งบอกวินาทีแห่งความเป็นความตายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รูปแบบภาพ
ประเภทนี้นำมาประยุกต์ใช้กับงานภาพยนตร์ในยุคต่อมา เช่น Saving Private
Ryan ฉากยกพลขึ้นบก

ช่วงปลายปี 1945 เขาพบกับ อิงกริด เบิร์กแมน (Ingrid Bergman)
ดาราสาวสวยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังยุคนั้น ทั้งสองเริ่มความสัมพันธ์ลึกซึ้ง คาปาตาม
เธอไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนเขาไม่ชอบชีวิตแบบนั้นเท่าใด
อิงกริด เบิร์กแมนต้องการจะแต่งงานกับเขา แต่คาปาตัดสินใจกลับสู่ชีวิตช่างภาพ
ข่าวสงครามอีกครั้ง

หลังสงครามโลก เพื่อนช่างภาพที่ร่วมงานกันมาแต่ก่อนสงคราม..และแต่สมัยที่
เกอด้ายังมีชีวิต เช่น อองรี คาทิเอ เบรซง และ เดวิด ซีมอร์ (david Seymoor)
ชักชวนคาปา..ร่วมก่อตั้งเอเจนซี่ภาพถ่าย อันเป็นจุดกำเนิดของแมกนั่ม (Magnum
Photos) จากนั้นกิจกรรมของคาปาเริ่มห่างไกลจากสงคราม หันสู่งานบริหารมากขึ้น
โดยเฉพาะหลังการเกิดประเทศอิสราเอล (1948) ซึ่งนำโลกเข้าสู่ความขัดแย้งของ
กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามก่อการร้ายในเวลาต่อมา)
ในการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอาหรับ คาปาเกือบต้องเสียชีวิต เขาประกาศเลิก
การถ่ายภาพสงคราม หันมาเขียนหนังสือ ในปี 1954 ขณะอยู่ประเทศญี่ปุ่น ดูแล
การจัดนิทรรศการภาพถ่ายของแมกนั่ม นิตยสาร LIFE เกิดต้องการช่างภาพเพื่อ
เดินทางไปถ่ายสงครามอินโดจีน ทั้งที่เลิกการถ่ายภาพสงครามแล้ว เขากลับอาสา
รับงานนี้เอง นั่นคืองานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขา วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ.1954
ช่างภาพข่าวสงคราม โรเบิร์ต คาปา เดินเหยียบกับระเบิดเสียชีวิต ในมือของเขา
ยังคงถือกล้องถ่ายภาพ เขาเคยกล่าวว่าสงครามเหมือนนักแสดงหญิงแก่ๆคนหนึ่ง
ยิ่งนานวัน ยิ่งอันตราย และยิ่งนานวัน ยิ่งถ่ายรูปไม่ขึ้น "to me war is like an
aging actress, more and more dangerous, less and less photogenic"


















Comments